การทดสอบแรงดึงของเหล็กเส้น
บทนำ
คุณสมบัติในการรับแรงดึงของเหล็กเส้นที่ใช้ในคอนกรีตเสริมเหล็ก
จัดเป็นคุณสมบัติทางกลที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าเหล็กเส้นที่ใช้ในโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนใหญ่จะทำหน้าที่รับแรงดึงถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะใช้รับแรงอัดก็ตาม
แต่ถือว่าคุณสมบัติในการรับแรงดึงและแรงอัดมีค่าเป็นอย่างเดียวกันหากไม่เกิดการโก่งเดาะขี้น
ดังนั้นจึงทดสอบเฉพาะคุณสมบัติในการรับแรงดึงเท่านั้น
เหล็กเสริมที่ใช้ในงานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กมี 2 ประเภท ได้แก่ เหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อย
ซึ่งเป็นเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำหรือเหล็กกล้าละมุน
ซึ่งคุณสมบัติรับแรงดึงของเหล็กเสริมถูกนำมาใช้ในการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
เช่น พื้น บันได คาน เพื่อให้ได้คุณสมบัติต้านทานการรับแรงดึงของเหล็กเสริมตามที่ออกแบบในการก่อสร้างต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพและทางกลของเหล็กเสริมที่จะนำมาใช้งาน
4.1 มาตรฐานการทดสอบการรับแรงดึงของเหล็กเส้น
1. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
-
มอก 20-2543 มาตรฐานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
(เหล็กเส้นกลม)
-
มอก 24-2536 มาตรฐานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
(เหล็กข้ออ้อย)
2. มาตรฐานงานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต (มยธ.103-2533)
3. ASTM A615 M-79 Deformed and Plain Billet-Steel Bars for
Concrete Reinforcement (Metric)
4. BS 4449: 1969 Hot Roiled steel bars for the reinforcement
of concrete
5. JIS G3112-1975 Steel bars for concrete reinforcement
6.
AASHTO (American
Association for State Highway and Transportation Officials)
4.2 ข้อกำหนดคุณสมบัติของเหล็กเส้นตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ของเหล็กเส้น
ตารางที่ 4.1 คุณสมบัติทางกลของเหล็กเส้น
ตารางที่ 4.2 ค่าความคลาดเคลื่อนของมวลเหล็กที่ยอมให้ของเหล็กกลม
(round bar)
4.3 อุปกรณ์สำหรับการทดสอบ
1.
เครื่องทดสอบแรงดึง (Universal
testing machine) พร้อมอุปกรณ์
2.
เครื่องวัดการยืดตัว (Extensometer)
3.
เวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ที่มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน +0.05 mm มีความละเอียดในการวัด 0.1 mm
4.
ตลับเมตรที่มีความยาวเพียงพอที่จะวัดความยาวโดยตลอดของเหล็ก
5.
ตาชั่งที่มีความละเอียด 0.1 กรัม
6.
เหล็กสกัด
7.
ค้อน
4.4 จุดประสงค์การทดสอบ
เพื่อทดสอบหาคุณสมบัติในการรับแรงดึงของเหล็กเส้น
1.
กำลัง (Strength)
·
หน่วยแรงที่พิกัดยืดหยุ่น (Proportional
limit)
·
หน่วยแรงที่จุดคราก (Yield strength)
·
หน่วยแรงประลัย (Ultimate
strength)
2.
ความเหนียว (Ductility)
·
ร้อยละการยืดในช่วง 5 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง (Elongation)
3.
โมดูลัสยืดหยุ่น (Modulus of
elasticity)
4.5 การเตรียมตัวอย่างทดสอบ
การเตรียมตัวอย่างทดสอบแรงดึงเหล็ก
มีลำดับขั้นตอนดังนี้
4.5.1 ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต: เหล็กเส้นกลม มอก 20-2543 ได้กำหนดการเตรียมตัวอย่างทดสอบเหล็กเส้นกลม ดังนี้
·
เหล็กเส้นกลมตั้งแต่ 15 mm ลงมาให้ทดสอบโดยไม่ต้องกลึงชิ้นทดสอบให้เล็กลง
·
เหล็กเส้นกลมตั้งแต่ 19 mm ขึ้นไป อาจกลึงลดขนาดให้พอเหมาะที่จะใช้กับเครื่องทดสอบแรงดึงได้ แต่เส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 15 mm
ความยาวของส่วนที่กลึงต้องไม่น้อยกว่า 5.5 เท่าของขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนที่กลึง
4.5.2 ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต :
เหล็กข้ออ้อย มอก 24-2548 ได้กำหนดการเตรียมตัวอย่างทดสอบดังนี้
· เหล็กข้ออ้อยตั้งแต่ 16 mm ลงมาให้ทดสอบโดยไม่ต้องกลึงชิ้นทดสอบให้เล็กลง
· เหล็กข้ออ้อยตั้งแต่ 20 mm
ขึ้นไปอาจกลึงลดขนาดให้พอเหมาะที่จะใช้กับเครื่องทดสอบแรงดึงได้
แต่ เส้นผ่านศูนย์กลางต้องไม่น้อยกว่า 16 mm
ความยาวของส่วนที่กลึงต้องไม่น้อยกว่า 5.5 เท่าของ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางส่วนที่กลึง
รูปที่ 4.1 ตัวอย่างเหล็กข้ออ้อยที่ผ่านการกลึง
4.5.3 ความยาวพิกัด (Gauge length, G)
กำหนดให้มีค่าเท่ากับ 5 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง (5D เมื่อ D เป็นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง) ความยาวระหว่างหัวจับคือระยะ P โดยปกติจะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า
5.5D
4.6 วิธีการทดสอบ
1.
วัดความยาวของเหล็กเสริมด้วยตลับเมตรให้ละเอียดถึง 1 มิลลิเมตร
2.
ชั่งน้ำหนักเหล็กเสริมให้ละเอียดถึง 1 กรัม
3.
กำหนดความยาวพิกัดของเหล็กเสริม เท่ากับ 5D โดยใช้เหล็กสกัดตอกแสดงจุดไว้ ดังแสดงในรูปที่ 4.2 จากนั้นกำหนดระยะหัวจับ อย่างน้อย 5.5D
4.
นำเหล็กทดสอบใส่ในเครื่องทดสอบแล้วยึดเหล็กเสริมด้วยอุปกรณ์สำหรับจับชิ้นให้แน่น
โดยให้ตำแหน่งของความยาวพิกัดอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างอุปกรณ์ดังรูปที่ 4.3
รูปที่ 4.2 การกำหนดความยาวพิกัด (Gauge length)
รูปที่ 4.3 การจัดตำแหน่งความยาวพิกัดของเหล็กเสริมกึ่งกลางอุปกรณ์ยึดจับ
1.
ติดตั้ง extensometer เพื่อวัดการยืดตัวของเหล็กเสริม
2.
ควบคุมอัตราการเพิ่มของแรงดึงประมาณ 300 ksc/วินาที พร้อมทั้งบันทึกการยืดตัวของเหล็กเสริมทุกๆแรงดึง 250 กิโลกรัม หรืออาจใช้การแบ่งค่าเองให้ได้ ประมาณ 15-20
ค่าในช่วงพิกัดยืดหยุ่นของเหล็กเสริม
3.
ดำเนินการทดสอบจนกระทั่งเหล็กเสริมขาด
4.
ถอดชิ้นทดสอบออกจากเครื่องทดสอบแล้วสเก็ตซ์รูปลักษณะความเสียหายของชิ้นทดสอบ
5.
นำชิ้นทดสอบที่ขาด 2 ท่อนมาต่อกันให้เหมือนเดิม
วัดระยะความยาวพิกัดด้วยเวอร์เนียร์ เพื่อคำนวณค่ายืดตัวทั้งหมดดังรูปที่ 4.4
11.
สร้างกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงกับระยะการยืดตัว
12. สร้างกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียด ตัวอย่างดังแสดงในรูปที่
4.5
รูปที่ 4.5 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างความเค้นและความเครียดของเหล็กเสริม (ที่มา : www.learneasy.info )
ตารางบันทึกผลการทดสอบ
ภาพสเก็ตซ์ความเสียหายของชิ้นทดสอบ
ตัวอย่างที่ 1 ตัวอย่างที่
2
4.7 การคำนวณผลการทดสอบ
การทดสอบแรงดึงเหล็กเพื่อพิจารณาความสามารถในคุณสมบัติทางกายภาพและทางกลของเหล็กเสริม
โดยนำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบคำนวณค่ามวลระบุ ร้อยละความคลาดเคลื่อนของมวลต่อเมตร
ร้อยละความยืด โมดูลัสยืดหยุ่น หน่วยแรงดึง สามารถคำนวณได้ดังนี้

4.8 สรุปผลและวิเคราะห์ผลการทดลอง
ให้นิสิตสรุปผลในประเด็นที่แสดงด้านล่าง
โดยทำการเปรียบเทียบกับข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม
4.8.1ความคลาดเคลื่อนของมวลต่อเมตร...
-
4.8.2 กำลังและการยืดตัวของเหล็กเส้น...
-
4.8.3 ผลกระทบถ้านิสิตนำเหล็กดังกล่าวไปใช้ในงานจริง...
-
วีดีโอสอนทำทดลอง
ขอบคุณครับบ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบThank you
ตอบลบขอบคุณครับ ได้ความรู้ดีๆครับ
ตอบลบกรณีชุดตัวอย่างที่มาทดสอบ 3 ท่อน มีท่อนใดท่อนหนึ่งไม่ได้ตามเกณฑ์ จะพิจารณาอน่างไรครับ
ตอบลบขอเรียนสอบถามหน่อยครับ อย่าง SD40 ต้านทานแรงดึงที่จุดคราก 4000 ksc.คือเหล็กที่ดึงต้องขาดไหมครับ
ตอบลบขออนุญาตตอบนะครับ ดึงด้วยแรงนี้เหล็กตัวอย่างยังไม่ขาดครับ แต่ตัวอย่างจะเกิดการเปลี่ยนรูปคือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางจะขอดลงเรื่อยๆ ค่านี้แหล่ะครับต้องนำเอามาคิดเรื่องเปอร์เซนต์ elong ด้วยว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ ส่วนเรื่องเหล็กตัวอย่างที่ดึงหลังจากที่ผ่านกำลัง 4000ksc ไปแล้วก็จะยังคงรับแรงในการดึงได้ไปอีกสักระยะ จนถึงจุดๆหนึ่งที่กำลังเกือบ 6000 เหล็กตัวอย่างก็จะขาดครับ
ลบ